มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด (อังกฤษ: University of Oxford หรือ Oxford University) หรือเรียกอย่างง่าย ๆ ว่า อ๊อกซฟอร์ด เป็นมหาวิทยาลัยวิจัยซึ่งตั้งอยู่ในเมืองอ๊อกซฟอร์ด ประเทศอังกฤษ สหราชอาณาจักร แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานประวัติการก่อตั้งที่แน่นอน แต่มีหลักฐานว่าได้เริ่มสอนมาตั้งแต่ ค.ศ. 1096 ถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ และเป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สุดที่ยังเปิดสอนเป็นอันดับสอง อ๊อกซฟอร์ดเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในปี ค.ศ. 1167 เมื่อพระเจ้าเฮนรีที่ 2 ทรงห้ามมิให้นักศึกษาชาวอังกฤษไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยปารีส ภายหลังจากการพิพาทระหว่างนักศึกษาและชาวเมืองอ๊อกซฟอร์ดในปี ค.ศ. 1206 นักวิชาการบางส่วนได้หนีไปทางตะวันออกเฉียงเหนือสู่เมืองเคมบริดจ์ ซึ่งพวกเขาได้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ขึ้น ทั้งสอง"มหาวิทยาลัยโบราณ"มักจะถูกเรียกว่า"อ๊อกซบริดจ์"
มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ดเติบโตขึ้นจากความหลากหลายของสถ??าบันการศึกษาต่าง ๆ รวมถึงวิทยาลัยร่วมทั้ง 38 แห่ง และหน่วยงานทางวิชาการซึ่งแบ่งออกเป็นสี่แผนก แต่ละวิทยาลัยมีระบบการจัดการอย่างอิสระในการควบคุมสมาชิกรวมทั้งมีระบบโครงสร้างภายในและกิจกรรมเป็นของตนเอง มีลักษณะเป็นเมืองมหาวิทยาลัยซึ่งมีอาคารและสิ่งอำนวยความสะดวกกระจายอยู่ทั่วใจกลางเมือง การศึกษาระดับปริญญาตรีส่วนใหญ่ที่อ๊อกซฟอร์ดเป็นการจัดการด้วยวิธีติวเตอร์ตลอดรายสัปดาห์ไปในแต่ละวิทยาลัยและฮอลล์ต่าง ๆ โดยได้รับการสนับสนุนจากชั้นเรียน การบรรยาย และการปฏิบัติการซึ่งจัดขึ้นโดยคณะและภาควิชาต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ดยังดำเนินงานพิพิธภัณฑ์มหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในโลก รวมถึงสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมีระบบห้องสมุดทางวิชาการที่ใหญ่ที่สุดในบริเตน อ๊อกซฟอร์ดมีศิษย์เก่าที่มีชื่อเสียงจำนวนมาก รวมถึงผู้ได้รับรางวัลโนเบล 28 คน นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร 27 คน ประมุขแห่งรัฐและผู้นำรัฐบาลหลายแห่งทั่วโลก อ๊อกซฟอร์ดเป็นแหล่งที่ตั้งของทุนการศึกษาโรดส์ซึ่งเป็นหนึ่งในทุนการศึกษานานาชาติที่เก่าแก่ที่สุดในโลกและมีชื่อเสียงมากที่สุด ซึ่งได้นำนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาเข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยมานานกว่าศตวรรษ
มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ดไม่มีช่วงเวลาการก่อตั้งที่แน่นอน การสอนที่อ๊อกซฟอร์ดบางส่วนปรากฏอย่างน้อยที่สุดใน ค.ศ. 1096 แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่ามหาวิทยาลัยตั้งขึ้นเมื่อไร อ๊อกซฟอร์ดเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วใน ค.ศ. 1167 เมื่อนักศึกษาชาวอังกฤษกลับมาจากมหาวิทยาลัยปารีส นักประวัติศาสตร์เจอรัลด์แห่งเวลส์ทำการบรรยายให้กับนักวิชาการต่าง ๆ ใน ค.ศ. 1188 และนักวิชาการชาวต่างชาติคนแรกที่รู้จักคืออีโมแห่งฟรีสลันด์มาที่อ๊อกซฟอร์ดใน ค.ศ. 1190 ผู้นำของมหาวิทยาลัยใช้ชื่อตำแหน่งว่าอธิการบดี (อังกฤษ: Chancellor) อย่างน้อยที่สุดใน ค.ศ. 1201 และได้รับการยอมรับว่าเป็นมหาวิทยาลัยหรือบรรษัทใน ค.ศ. 1231 มหาวิทยาลัยได้รับพระบรมราชานุญาตใน ค.ศ. 1248 ในรัชสมัยของพระเจ้าเฮนรีที่ 3
ภายหลังจากข้อพิพาทระหว่างนักศึกษาและชาวเมืองอ๊อกซฟอร์ดในปี ค.ศ. 1209 นักวิชาการบางส่วนได้หลบหนีจากความรุนแรงไปยังเคมบริดจ์ และได้ก่อตั้งเป็นมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์
นักศึกษามีความเกี่ยวข้องบนพื้นฐานของพื้นเพทางภูมิศาสตร์แบ่งเป็นสอง "ชาติ" ประกอบด้วยทางเหนือ (ชาวเหนือ หรือ โบเรียลิส หมายถึงชาวอังกฤษที่อยู่ทางเหนือของแม่น้ำเทรนต์และชาวสกอต) และทางใต้ (ชาวใต้ หรือ ออสเตรลีส หมายถึงชาวอังกฤษที่อยู่ทางใต้ของแม่น้ำเทรนต์ ชาวไอริช และชาวเวลส์) ในหลายศตวรรษต่อมาพื้นเพทางภูมิศาสตร์ยังคงมีอิทธิพลต่อความเชื่อมโยงของนักศึกษาจำนวนมากผ่านการเข้าเป็นสมาชิกของวิทยาลัยหรือฮอลล์ซึ่งกลายเป็นขนบธรรมเนียมของอ๊อกซฟอร์ด นอกจากนี้สมาชิกของคณะนักบวชจำนวนมากรวมถึงดอมินิกัน ฟรันซิสกัน คาร์เมไลท์ และออกัสติเนียนเข้ามายังอ๊อกซฟอร์ดในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 13 ซึ่งมีอิทธิพลและดูแลบ้านหรือฮอลล์ต่าง ๆ ให้กับนักศึกษา ในเวลาเดียวกันผู้อุปถัมภ์ต่าง ๆ ได้จัดตั้งวิทยาลัยต่าง ๆ เป็นชุมชนวิชาการอิสระไม่มีสังกัด ในบรรดาผู้ก่อตั้งกลุ่มแรก ๆ เช่น วิลเลียมแห่งเดอรัมผู้ก่อตั้งวิทยาลัยยูนิเวอซิตีใน ค.ศ. 1249 และจอห์น แบเลียน บิดาของกษัตริย์แห่งสกอตแลนด์ในอนาคตได้ก่อตั้งวิทยาลัยแบเลียนตามชื่อของเขาวอลเตอร์ เดอ เมอร์ตันผู้ก่อตั้งอีกคนซึ่งเป็นอธิบดีศาลสูงสุดแห่งอังกฤษและภายหลังเป็นบิชอปแห่งรอเชสเตอร์ได้ยกร่างกฎระเบียบสำหรับการดำรงชีวิตในวิทยาลัย ด้วยเหตุนี้วิทยาลัยเมอร์ตันได้กลายเป็นตัวอย่างของการใช้กฎปฏิบัติในอ๊อกซฟอร์ด รวมถึงมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ภายหลังจากนั้นนักศึกษาที่มีจำนวนมากขึ้นได้อาศัยอยู่ในวิทยาลัยมากกว่าฮอลล์และบ้านของกลุ่มศาสนา
ใน ค.ศ. 1333-34 ความพยายามจากนักวิชาการอ๊อกซฟอร์ดบางส่วนที่ไม่พอใจจัดตั้งมหาวิทยาลัยใหม่ที่สแตมฟอร์ด, ลิงคอล์นเชอร์ได้ยุติการจัดตั้งมหาวิทยาลัยใหม่โดยมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ดและมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ได้ร้องฎีกาต่อพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 ภายหลังจากนั้นจนกระทั่งทศวรรษที่ 1820 ไม่มีมหาวิทยาลัยใหม่ที่ได้รับอนุญาตให้ก่อตั้งขึ้นในอังกฤษแม้แต่ในลอนดอน เพราะฉะนั้นอ๊อกซฟอร์ดและเคมบริดจ์จึงมีลักษณะผูกขาดเพียงสองแห่งซึ่งแตกต่างจากประเทศอื่น ๆ ในยุโรปตะวันตก
การเรียนรู้แบบใหม่ในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยามีอิทธิพลต่ออ๊อกซฟอร์ดอย่างมากตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 15 เป็นต้นไป นักวิชาการของมหาวิทยาลัยในสมัยนั้นคือวิลเลียม โกรซินผู้มีส่วนร่วมในการฟื้นฟูการศึกษาภาษากรีก และจอห์น โคเล็ตผู้เป็นนักวิชาการทางคัมภีร์ไบเบิล
การปฏิรูปศาสนาในอังกฤษและยุติความสัมพันธ์กับคริสตจักรโรมันคาทอลิก ทำให้นักวิชาการที่ไม่เข้าร่วมกิจการของคริสตจักรแห่งอังกฤษจากอ๊อกซฟอร์ดหนีไปยังทวีปยุโรป โดยตั้งหลักอยู่ที่มหาวิทยาลัยดูแอ วิธีการสอนที่อ๊อกซฟอร์ดถูกเปลี่ยนจากอัสสมาจารย์นิยมในยุคกลางเป็นการศึกษาแบบฟื้นฟูศิลปวิทยาแม้ว่าสำนักต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยจะต้องสูญเสียที่ดินและรายได้ จากที่เป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้และทุนการศึกษา ชื่อเสียงของอ๊อกซฟอร์ดเสื่อมลงในยุคเรืองปัญญา การลงทะเบียนเรียนลดลงและการเรียนการสอนถูกละเลย
ใน ค.ศ. 1637 วิลเลียม ลอด อธิการบดีและอาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรีร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยขึ้น กฎระเบียบเหล่านี้ยังคงอยู่จนถึงช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ลอดยังเป็นผู้รับผิดชอบให้สิทธิ์พิเศษแก่สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัย และเขามีส่วนสำคัญต่อห้องสมุดบอดเลียนซึ่งเป็นห้องสมุดหลักของมหาวิทยาลัย จากการเริ่มต้นของคริสตจักรแห่งอังกฤษในฐานะคริสตจักรที่ถูกสถาปนาขึ้นจนถึง ค.ศ. 1866 สมาชิกของคริสตจักรถูกกำหนดให้ได้รับปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิต (BA) จากมหาวิทยาลัย และ"ผู้คัดค้าน"ได้รับอนุญาตให้รับแต่เพียงปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (MA) ใน ค.ศ. 1871
มหาวิทยาลัยเป็นศูนย์กลางของฝ่ายนิยมเจ้าในระหว่างสงครามกลางเมืองอังกฤษ (ค.ศ. 1642–1649) ในขณะที่เมืองได้รับการสนับสนุนจากผู้ต่อต้านคือฝ่ายรัฐสภา ตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมามหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ดมีส่วนร่วมเล็กน้อยในความขัดแย้งทางการเมือง
วิทยาลัยวอแดมได้รับการก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1610 เป็นวิทยาลัยระดับปริญญาตรีของเซอร์คริสโตเฟอร์ เรน เรนเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มชั้นนำของนักวิทยาศาสตร์เชิงทดลองที่อ๊อกซฟอร์ดในทศวรรษที่ 1650 หรือชมรมปรัชญาอ๊อกซฟอร์ดซึ่งรวมถึงรอเบิร์ต บอยล์และรอเบิร์ต ฮุกมักพบปะกันเป็นประจำที่วอแดมภายใต้การแนะนำของผู้อำนวยการวิทยาลัยจอห์น วิลกินส์และกลุ่มนี้ได้เป็นจุดเริ่มต้นของการนำไปสู่การก่อตั้งราชสมาคม
ปัจจุบันนี้ มีวิทยาลัยที่สังกัดมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด 38 แห่ง ซึ่งผู้สมัครสามารถเลือกเข้าไปอยู่ได้ ถ้ามีคุณสมบัติตรงตามที่วิทยาลัยต้องการ วิทยาลัยต่างๆ
อ๊อกซฟอร์ดเป็นสถาบันการศึกษาที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ มหาวิทยาลัยหลายแห่งในประเทศที่พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ เช่น มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ในอังกฤษ, มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เยล พรินซ์ตัน ฯลฯ ในสหรัฐอเมริกา มหาวิทยาลัยหลายแห่งในแคนาดา ออสเตรเลีย ฯลฯ ล้วนแต่เคยใช้มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ดเป็นต้นแบบในการพัฒนา ไม่ว่าจะในรูปสถาปัตยกรรม ระบบการศึกษา วัฒนธรรมการใช้ชีวิตของนักศึกษาและครูอาจารย์ภายในมหาวิทยาลัย และระบบจัดการศึกษา ตึกเรียนของมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ดใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่น แฮร์รี่ พอตเตอร์ และเจมส์ บอนด์
วารสาร Research Forthnight ซึ่งเป็นนิตยสารที่เชื่อมโยงระหว่างอุตสาหกรรมกับมหาวิทยาลัยชั้นนำในยุโรป ได้ยกให้อ๊อกซฟอร์ดเป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งในอังกฤษด้านกำลังการวิจัย (Research Power) อ๊อกซฟอร์ดยังมีภาควิชาหลายภาควิชาที่ใหญ่ที่สุดในโลก เช่น ภาควิชาเคมี และ ภาควิชาคลาสสิกส์ (ภาษาและวรรณคดีกรีกและละติน) ส่วนสถาบันบริหารธุรกิจซาอิด (Said Business School) ของอ๊อกซฟอร์ดได้รับการยกย่องว่าเป็นสถาบันบริหารธุรกิจที่เติบโตเร็วที่สุดของยุโรป และสามารถจัดหลักสูตรบริหารจัดการทางธุรกิจหลักสูตรปีเดียวได้ดีที่สุดในสหราชอาณาจักร ส่วนการจัดการเรียนการสอนวิชาบริหารธุรกิจระดับปริญญาตรีในอ๊อกซฟอร์ดได้รับการยกย่องจาก Times Good University Guides ว่าดีที่สุดในสหราชอาณาจักรทุกปี ล่าสุด หนังสือแนะแนวมหาวิทยาลัยสำหรับนักเรียนมัธยมอังกฤษของหนังสือพิมพ์ไทมส์ชื่อ Good University Guides และหนังสือพิมพ์ The Guardian ได้จัดอันดับให้อ๊อกซฟอร์ดเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของอังกฤษ
ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ดจำนวนมากเป็นผู้มีชื่อเสียงระดับโลก อาทิ เป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ในอังกฤษ, ร่วมในคณะนักบวชพิวริตันก่อตั้งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด, ในสหรัฐอเมริกา ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด คือ เจเรมี เบนทัม ผู้นำปรัชญาประโยชน์นิยมซึ่งเคยศึกษาที่วิทยาลัยควีนส์ในอ๊อกซฟอร์ด เป็นผู้ก่อตั้ง University College London ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของ มหาวิทยาลัยลอนดอน ในอังกฤษ, อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและมหาวิทยาลัยเยล, ผู้พิพากษาศาลสูงสุดของอินเดีย, พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ระหว่างที่ทรงปรับปรุงจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากโรงเรียนมหาดเล็ก ก็ทรงได้รับอิทธิพลความคิดจากมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ดนั่นเอง
นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ดยังได้สร้างนายกรัฐมนตรีอังกฤษมาแล้ว 25 คน เคยมีบุคคลสำคัญมาศึกษาที่อ๊อกซฟอร์ดก่อนได้ตำแหน่งสำคัญทางการเมือง อาทิ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา, อินเดียและนายกรัฐมนตรีอินเดีย, นายกรัฐมนตรีไทย, นายกรัฐมนตรีจาไมกา, นายกรัฐมนตรีแคนาดา, นายกรัฐมนตรีศรีลังกา, นายกรัฐมนตรีของออสเตรเลีย, วุฒิสมาชิกในรัฐสภาคองเกรส, ประธานาธิบดีกานา เป็นต้น
มหาวิทยาลัยที่เป็นคู่แข่งขันของอ๊อกซฟอร์ด คือ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ทั้งสองมหาวิทยาลัยนี้เก่าแก่ที่สุดในอังกฤษ จึงจับคู่กันพัฒนา มีหลายนโยบายที่ทำไปในทิศทางเดียวกัน จึงเรียกนักศึกษาและครูอาจารย์ของสองมหาวิทยาลัยนี้รวม ๆ ว่าพวก อ๊อกซบริดจ์ เพราะคนเหล่านี้โดยพื้นฐานแล้วมาจากระบบการศึกษาที่เหมือนกัน เมื่อนโยบายชัดเจนแล้วก็แข่งขันกันด้านคุณภาพวิชาการในหมู่ครูอาจารย์ และการกีฬาในหมู่นักศึกษา โดยเฉพาะกีฬาแข่งเรือจัดเป็นกีฬาที่มีชื่อเสียงที่สุดที่นักศึกษาสองมหาวิทยาลัยแห่งนี้จัดกันขึ้น สถานีโทรทัศน์บีบีซีถ่ายทอดสดการแข่งขันในช่วงปลายเดือนมีนาคมหรือต้นเดือนเมษายนของทุกปี
การแข่งขันทางวิชาการของสองมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่แห่งนี้ ได้เป็นต้นตำรับของการแข่งขันกันทางวิชาการของมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ตามมา อาทิ ฮาร์วาร์ด-เยล ในสหรัฐอเมริกา, เคโอ-วาเซดะ ในญี่ปุ่น, เมลเบิร์น-ซิดนีย์ ในประเทศออสเตรเลีย, ปักกิ่ง-ชิงหว๋า ในประเทศจีน เอ็มกู (มหาวิทยาลัยมอสโก)-เซนปีเตอร์สเบิร์ก ในประเทศรัสเซีย
อ๊อกซฟอร์ดมีสำนักหอสมุดกลางชื่อว่าบ๊อดเลียน (Bodlean Library) และมีห้องสมุดในเครือข่ายกระจายไปตามภาควิชาต่างๆ มากมาย สำนักหอสมุดของอ๊อกซฟอร์ดเป็นห้องสมุดมหาวิทยาลัยแห่งที่สองที่จดทะเบียนเป็นห้องสมุดสงวนลิขสิทธิ์ (Copyright Library) ถัดจากสำนักหอสมุดแห่งชาติของอังกฤษ (The British Library) หมายความว่า หนังสือที่จัดพิมพ์ทุกเล่มในสหราชอาณาจักรจะต้องส่งไปยังห้องสมุดของมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ดจำนวนหนึ่งเพื่อเข้าห้องสมุด ด้วยเหตุนี้ สำนักหอสมุดของมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ดจึงมีหนังสือที่จัดพิมพ์ใหม่ให้ค้นคว้ามากมาย นอกเหนือจากต้นฉบับคัมภีร์โบราณ (Old manuscripts) ที่บันทึกด้วยภาษาต่างๆ อาทิ กรีก ฮิบรู ฮิทไทท์ สันสกฤต ฯลฯ ที่หามิได้ที่อื่น
เพราะมีคัมภีร์ต้นฉบับดั้งเดิมมากมาย คณาจารย์มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ดจึงสามารถจัดทำพจนานุกรมฉบับตั้งโต๊ะออกมาเผยแพร่ได้สำเร็จ เช่น พจนานุกรมภาษากรีก ภาษาละติน ภาษาฮิบรู ภาษาอังกฤษ ฯลฯ หนังสือเหล่านี้สร้างชื่อให้อ๊อกซฟอร์ดมาหลายศตวรรษ มีจัดแสดงที่ร้านหนังสือสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด ถนนไฮสตรีต ย่านใจกลางเมือง อ๊อกซฟอร์ด ดังนั้น สำนักหอสมุดอ๊อกซฟอร์ดจึงมีการถ่ายเทหนังสือวิชาการเก่าที่มีเนื้อหาล้าสมัยออกจากห้องสมุดทุกๆปี แล้วเอาหนังสือใหม่ที่ผ่านการปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัยเข้าไปแทน
อ๊อกซฟอร์ดไม่ได้เน้นปริมาณหนังสือว่าจะต้องมากที่สุด แต่มุ่งเน้นคุณภาพของหนังสือที่นำเข้าเก็บในห้องสมุด ตามข้อมูลมหาวิทยาลัยในปัจจุบัน มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ดมีหนังสือไม่ต่ำกว่า 10 ล้านเล่ม หนังสือเหล่านี้ล้วนแต่ผ่านการคัดเลือกอย่างดี มหาวิทยาลัยมีนโยบายให้นักศึกษาได้ค้นอ่านข้อเขียนของนักวิชาการระดับท็อปของโลก หนังสือไหนที่มีชื่อเสียงล้วนแต่มีให้ค้นอ่านที่อ๊อกซฟอร์ด ถึงไม่มี สำนักหอสมุดก็สามารถขอยืมจากภายนอกมาให้อ่านได้ นอกจากนี้ ยังมีสาระสังเขป (abstract) วิทยานิพนธ์ของนักศึกษาเด่นๆ จากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงต่างๆ ทั่วโลกให้นักศึกษาได้ค้นคว้าศึกษาและยังมีระบบอำนวยความสะดวก กล่าวคือมีเจ้าหน้าที่ไว้ช่วยบริการให้นักศึกษาและครูอาจารย์ค้น คว้าทำวิจัยได้อย่างรวดเร็วด้วย
แม้ว่าการใช้ชีวิตเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ดจะได้ชื่อว่าเครียด แต่ก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกหลายอย่าง บัตรนักศึกษาของมหาวิทยาลัย อ๊อกซฟอร์ดสามารถช่วยได้ส่วนลดจากการซื้อสินค้าตามร้านต่างๆ หลายรายการถ้าหากใช้ซื้อสินค้าที่ตั้งอยู่ในเมืองอ๊อกซฟอร์ด ลดค่าตั๋วเข้าชมการแสดงหรือละเล่นต่างๆ ได้ส่วนหนึ่ง
สถานที่เล่นกีฬาซึ่งมหาวิทยาลัยเตรียมไว้ให้นักศึกษาปรกติจะได้มาตรฐานโอลิมปิก เช่น สนามเล่นฟุตบอล สนามเล่นสคว็อช สระว่ายน้ำ สถานีสำหรับฝึกพายเรือของวิทยาลัยต่างๆ สนามฝึกแบดมินตัน สนามฝึกเทนนิส สนามฝึกคริเกต นอกจากนี้ ยังมีสำนักหรือกลุ่มผู้ฝึกมวยจีน อันได้แก่มวยไท้เก๊ก (Tai Chi Chuan) เพลงมวยหย่งชุน (Wing Chun Kung Fu) ซึ่งแตกแขนงมาจากเส้าหลินใต้ จัดกิจกรรมกันเป็นระยะๆ เพื่อดึงดูดให้นักศึกษาเข้าร่วม